ด้านโครงสร้างภาษีอากร
ปัญหาโครงสร้างภาษีอากรนับเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจค้าทองคำและมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ซึ่งสมาคมฯ ได้มีบทบาทผลักดัน
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเอื้อต่อการ
ประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการค้าทองคำทั้งประเทศ
การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากร สำหรับการนำเข้าทองคำแท่ง
สืบเนื่องจากในสมัยก่อนการนำเข้าทองคำแท่งจะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 35% ส่งผลให้มีการลักลอบนำทองคำเข้ามาในประเทศเป็น
จำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยสมาคมฯ ให้มุมมองว่า ทองคำ เปรียบเสมือนเงินตรา และสามารถนำมาเป็นทุนสำรองระหว่าง
ประเทศได้เมื่อเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงเสนอรัฐบาลในขณะนั้นให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าทองคำแท่ง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของ
เศรษฐกิจ และเป็นแนวทางที่เป็นสากล จนรัฐบาลมีความเห็นที่สอดคล้องกันและมีการปรับลดอัตราภาษีเหลือ 5% และต่อมาได้ ลดลงเหลือ 0%
ในปี 2535 ซึ่งทำให้ประชาชนผู้บริโภค สามารถซื้อทองคำแท่งในราคาที่สะท้อนความเป็นจริงกับตลาดโลก ทำให้ตลาดการค้าขายทองคำใน
ประเทศไทยเกิดการขยายตัวอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีสำหรับธุรกิจค้าทองคำ ภาษีโภคภัณฑ์,
ภาษีการค้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)
การจัดเก็บภาษีในรูปแบบเดิมมีปัญหาในทางปฏิบัติ และก่อให้เกิดปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างมาก ภาษีมูลค่าเพิ่มมีผลทำให้กำลังซื้อของประชาชน
และความต้องการที่จะเปลี่ยนทองรูปพรรณใหม่ปรับลดลง เนื่องจากต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน ส่งผลให้ธุรกิจการค้าทองคำไม่ขยายตัวสมาคมฯ จึงเป็น
ตัวแทนผลักดันการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษี VAT โดยการให้ข้อมูล และเปรียบเทียบผลดีผลเสีย ซึ่งผลจากการที่สมาคมฯ ผลักดันในครั้งนั้น
ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ ที่เป็นมาตรฐานเดียวกับสากล โดยจัดเก็บภาษีเฉพาะส่วนต่างของมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากราคา
ทองคำแท่ง ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2543 และส่งผลทำให้ตลาดการค้าขายทองรูปพรรณของประเทศไทยเกิดการขยายตัวอย่างมากเช่นกัน
การสร้างมาตรฐานเปอร์เซ็นต์ทอง 96.5% ทั่วประเทศ
นอกจากเรื่องการจัดระเบียบภาษีในวงการค้าทองคำแล้ว อีกหนึ่งผลงานที่ถือว่าสร้างความประทับใจให้กับร้านค้าทองคำทั่วประเทศก็คือ การร่วมกับสำนักงาน
คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการสร้างมาตรฐานทองรูปพรรณให้มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ของทอง 96.5% เริ่มตั้งแต่ต้นทาง คือการควบคุม
โรงงานผู้ผลิตหรือร้านค้าส่งทุกรายให้ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานตามที่กำหนด ไปจนถึงปลายทางก็คือร้านค้าปลีก โดยมีการสุ่มตรวจเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์
ของทองอยู่เสมอ ถือเป็นการตรวจจากต้นน้ำ เมื่อต้นน้ำดี ปลายน้ำย่อมดีตามไปด้วย
ทำให้ในปัจจุบัน ปัญหาทองเขียวหรือทองเปอร์เซ็นต์ต่ำที่พบบ่อยครั้งในอดีต หมดไปจากท้องตลาด ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับทองรูปพรรณที่ได้
มาตรฐาน แม้ว่าในช่วงแรกของการดำเนินงานจะมีแรงต้าน เพราะเห็นว่าการที่จะสร้างมาตรฐานเดียวกันนั้นยุ่งยาก แต่เมื่อผู้ค้าทองส่วนใหญ่เข้าใจว่าการ
ปฏิบัติตามมาตรฐานแล้ว จะทำให้การค้าทองได้รับความน่าเชื่อถือ และส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจในอนาคต ผู้ประกอบการหลายรายก็เริ่มให้ความร่วมมือ|
และเข้าร่วมในการดำเนินงาน
ในอดีตผู้บริโภคที่ต้องการจะซื้อทองก็จะมุ่งหน้ามายังเยาวราชเพราะเข้าใจว่าเป็นทองที่มีมาตรฐาน แต่เมื่อมีการจัดทำโครงการนี้ขึ้น มีเครื่องหมายที่ประกาศ
รับรองจาก สคบ. และ สคบ. มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงมาตรฐานดังกล่าว ก็ทำให้บรรดาร้านค้าทองทั่วประเทศมีผลประกอบกิจการ
ค้าขายที่ดีขึ้น และทำให้เห็นชอบกับแนวทางการดำเนินงานของสมาคมค้าทองคำ
การให้ความคุ้มครองผู้บริโภคโดยการประกันราคารับคืนทองรูปพรรณ
สมาคมค้าทองคำ ได้ให้ความร่วมมือภาครัฐ ในการประชาสัมพันธ์ให้ร้านทองประกันราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณของตัวเอง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า หากซื้อทอง
จากร้านนั้น ๆ และเมื่อนำมาขายคืน จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทำให้ร้านทองเห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินงานของสมาคมฯ ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค
และทำให้การค้าขายทองคำของไทยมีความคล่องตัวขึ้น
การจัดการปัญหาทองปลอม
จากการที่มีกลุ่มมิจฉาชีพ ผลิตทองปลอมออกมาเพื่อหลอกขาย หรือขายฝากให้แก่ร้านทองทั่วไป ในรูปแบบของทองรูปพรรณเก่า โดยลักษณะพฤติกรรมของ
คนร้ายจะกระทำเป็นขบวนการ และมีความยากลำบากในการเอาผิด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ก่อความเสียหายโดยภาพรวมจำนวนมหาศาล
สมาคมฯ จึงได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมาดูแลปัญหานี้ และได้ประสานงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ,
สภาทนายความ ฯลฯ โดยที่ผ่านมาได้มีการทลายแหล่งผลิตทองปลอม และกลุ่มแก๊งต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง และยังได้จัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ
ทั่วประเทศ ในโครงการ “รู้ทันทองปลอม สัญจร” ซึ่งจัดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปัจจุบันทำให้ปัญหาทองปลอมลดน้อยลงเป็นอย่างมาก
การกำหนดและประกาศราคาทองคำของประเทศไทย
สมาคมค้าทองคำ เป็นผู้กำหนดและประกาศราคาทองคำของประเทศไทย โดยได้รับการยอมรับเป็นราคาอ้างอิงกลางของประเทศไทย ทั้งจากหน่วยงาน
ภาครัฐเอกชน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
สมาคมค้าทองคำ มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมฯ คอยกำกับดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขายโดยการตัดสินใจปรับ ขึ้น-ลง ราคา
ทองคำในประเทศแต่ละครั้ง ทางสมาคมฯ จะพิจารณาองค์ประกอบของราคาทองคำในตลาดโลกค่าเงินบาท อัตราค่า Premium รวมถึง Demand และ
Supply ภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยกล่าวได้ว่า ตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาด|
อย่างแท้จริง